ทาทา สตีล (ประเทศไทย) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปีการเงิน 2569 (กรกฎาคม – กันยายน 2568) ปรับตัวดีขึ้น

บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 บริษัทได้รายงานผลกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ 1,067 ล้านบาท สำหรับไตรมาสเดือนกรกฎาคม - กันยายน 2568 เมื่อเทียบกับกำไร 474 ล้านบาทในไตรมาสเดือนเมษายน - มิถุนายน 2568 และขาดทุน 160 ล้านบาทในไตรมาสเดือนกรกฎาคม - กันยายน 2567

มร. ตารุน ดากา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปริมาณการขายในไตรมาสนี้อยู่ที่ 356,000 ตัน เมื่อเทียบกับ 338,000 ตันในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากความต้องการภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นของตลาดที่ดีขึ้นจากโครงการก่อสร้างและโครงการภาครัฐ โดยบริษัทมีผลิตภัณฑ์หลัก 2 ประเภท ได้แก่ เหล็กเส้นและเหล็กลวด ซึ่งสถานการณ์ความต้องการในตลาดเหล็กเส้นอยู่ในระดับที่ดี การเพิ่มขึ้นของยอดขายสะท้อนถึงความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ Tata Tiscon โดยในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปริมาณการขายรวมอยู่ที่ 280,000 ตัน ในขณะที่ช่วงเวลาดังกล่าวสถานการณ์ความต้องการอยู่ในระดับต่ำมาก

รายได้จากการขายและบริการที่เกี่ยวข้องในไตรมาสนี้อยู่ที่ 7,385 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว รายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น

มร. ตารุน ดากา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีการเงิน 2569 บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าจะเป็นการฟื้นตัวหลังจากเผชิญกับความ ท้าทายอย่างหนักเป็นระยะเวลา 2 ปี รวมถึงภาวะความต้องการที่อยู่ในระดับต่ำ สำหรับช่วงระยะเวลา 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2568 ปริมาณการขายของบริษัทได้รับแรงขับเคลื่อนจากยอดขายเหล็กเส้นภายในประเทศที่แข็งแกร่ง และได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง สถานการณ์ความต้องการยังคงขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายของรัฐบาลและการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนภาครัฐเป็นหลัก สถานการณ์ความต้องการเหล็กลวดได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการนําเข้าในปริมาณมากที่มีราคาต่ำมากซึ่งเกิดขึ้นในประเทศในปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน การส่งออกก็เผชิญกับข้อจำกัดจากอุปสรรคด้านภาษีศุลกากรและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรที่ประเทศต่างๆ กำหนดขึ้นเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตนเอง